หมู่เลือด Rh – negative คืออะไร
เลือดสามารถจำแนกออกได้เป็น หมู่เลือด A B O และ AB ตามแบบที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่ก็ยังมีการจำแนกหมู่เลือดอีกแบบที่มีความสำคัญมาก แต่หลายคนกลับไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร นั่นคือการจำแนกหมูเลือดด้วยระบบรีซัส (Rhasus) หรือที่เรียกกันว่าระบบ Rh นั้นเอง
การจำแนกหมู่เลือดด้วยระบบ Rh
หมู่เลือด Rh สามารถจำแนกได้โดยโปรตีน แอนติเจน-ดี ซึ่งอยู่บนผิวของเซลล์เม็ดเลือดแดง หากตรวจพบว่ามี แอนติเจน-ดี จะถูกจัดเป็นหมู่เลือด Rh positive หรือ อาร์เอชบวก (Rh +)แต่ถ้าหากเซลล์เม็ดเลือดแดงไม่มีโปรตีนชนิดนี้ จะถูกจำแนกเป็นหมู่เลือด Rh negative หรือ อาร์เอชลบ (Rh -)ซึ่งโดยปกติแล้ว หมู่เลือด Rh- จะไม่ได้ก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วย หรืออันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด
หมู่เลือด Rh+ เป็นหมู่เลือดที่พบได้มากที่สุดในกลุ่มประชากรชาวไทย ในขณะที่ผู้ที่มีหมู่เลือด Rh- นั้นสามารถพบได้เพียง ร้อยละ 0.3 ของประชากรไทยทั้งหมดเท่านั้น จึงทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนเลือดหมู่นี้อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากผู้ป่วยที่มีหมูเลือด Rh- จะสามารถรับบริจาคเลือดได้เฉพาะเลือดที่มีหมู่เดียวกันเพียงเท่านั้น
ผลกระทบของหมู่เลือด Rh- ต่อการตั้งครรภ์
ในกรณีคุณแม่หมู่เลือด Rh- ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นครั้งแรก โดยที่ทารกในครรภ์มีหมู่เลือด Rh+ ร่างกายของแม่จะสร้างภูมิคุ้มกัน แอนติ-ดี ขึ้นมา เพื่อต่อต้านโปรตีนที่อยู่บนเม็ดเลือดแดงของลูก ทำให้หากมีการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป โดยที่ทารกในครรภ์มีหมู่เลือด Rh+ ซึ่งเป็นคนละหมู่กับผู้เป็นแม่แอนติ-ดี ในร่างกายของแม่จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของลูก ทำให้เม็ดเลือดแดงของเด็กแตก และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ดังนั้น ก่อนจะตั้งครรภ์คุณแม่ที่มีหมู่โลหิต Rh- จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเตรียมการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อลูกได้
การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การไปฝากครรภ์ตั้งแต่เนิ่นๆ หากตรวจพบการไม่เข้ากันของเลือดแม่และลูกในการตั้งครรภ์ครั้งแรก คุณหมอจะฉีดยาลดการสร้างภูมิต้านทานต่อเลือดของลูกให้เมื่อตั้งครรภ์ 28 สัปดาห์หรือหลังคลอดภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดของแม่ไปทำลาย เม็ดเลือดแดงของลูกในการตั้งครรภ์ครั้งถัดไป แต่ก็ไม่มีปัญหาใดๆ สำหรับการคลอด ซึ่งคุณแม่ที่มีกลุ่มเลือด Rh- ยังสามารถคลอดได้ตามปกติ
ในการตั้งครรภ์ครั้งแรกอาจไม่มีอาการผิดปกติใด แต่การตั้งครรภ์ที่ 2 คุณหมอจะเจาะเลือดคุณแม่เป็นระยะและฉีดยาเพื่อลดการสร้างภูมิต้านทานเลือดของลูก รวมทั้งการเจาะน้ำคร่ำและเจาะเลือดลูกเพื่อดูความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดง เพราะภูมิต้านทานที่ร่างกายของแม่ สร้างขึ้นมาจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดแดงภายในร่างกายของลูกที่อยู่ในกลุ่ม Rh+ ให้แตกตัว ลูกจะมีภาวะซีด โลหิตจาง หัวใจทำงานหนักเพื่อ สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการบวมน้ำ ตับ, ม้ามโต หัวใจวาย หรือรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตในครรภ์ได้
ถึงอย่างไร การป้องกันเสียแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่าแน่นอนค่ะ
ที่มา :
https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/rh-factor/about/pac-20394960
https://medinfo.psu.ac.th/departments/pathology/Education/BloodBank/Rh.htm
https://www.sanook.com/women/6549/